ภูกระดึงคิดถึงเธอ ๓ วัน ๒ คืน

ภูกระดึงคิดถึงเธอ ๓ วัน ๒ คืน

ภูกระดึงคิดถึงเธอ ๓ วัน ๒ คืน

การเดินทางขึ้นภูกระดึงก็เหมือนกับการไป "ตรวจสุขภาพประจำปี" ทุกๆ ปีผมกับน้องๆ ในทีมงานก็จะขึ้นภูกันเป็นประจำ แต่เมื่อปีที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้ขึ้นไป ปีนี้จึงนัดกันว่าจะขึ้นไปในช่วงวันที่ ๘-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙

ผมมาถึงที่ด่าน ๑ ได้เจอกับพี่ดำซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่เคยประจำอยู่ที่ซำกกโดน แต่ด้วยเรื่องของสุขภาพจึงย้ายลงมาประจำที่นี่ และที่จุดนี้ผมได้เจอกับน้องหมาน่ารักอยู่หนึ่งตัว พี่ดำบอกว่าเป็นของนักท่องเที่ยวฝากไว้ เพราะทางอุทยานแห่งชาติไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าไปด้วย

ณ ลานจอดเต็มไปด้วยรถของนักท่องเที่ยวเราต้องขับเข้าไปจอดไกลหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร ผมได้นัดกับพี่สมพรลูกหาบมือโปรไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจอหน้าก็ทักทายกับตามประสาคนคุ้นเคยกัน ฝากสัมภาระให้พี่สมพรดูแล แล้วก็ได้เพิ่มพลังงานให้ร่างกายก่อนเข้าโปรแกรมทดสอบสุขภาพกัน

กินข้าวเสร็จเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย แล้วก็ยืดแข้ง ยืดขาก่อนเข้าสู่โปรแกรมตรวจสุขภาพอันแรก

"ซำแฮก" โปรแกรมทดสอบกำลังขา และหัวใจ ระยะทาง ๑ กม.เดินขึ้นเขาทางชันถ้าไม่มีการเตรียมตัวที่ดีก็เหนื่อยเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ผมเองจะมีสูตรลับในการเดินอย่างนี้ครับ
อันดับแรก กินข้าว กันน้ำ ก่อนออกเดินสักครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็ต้องวอร์มร่างกายก่อนออกเดินทางเสมอเพื่อเป็นการบอกให้ร่างกายรับรู้ว่าจะต้องใช้กำลังกันแล้วนะ น้ำต้องมีติดตัวอยู่ตลอดเวลา
คราวนี้มาเรื่องของการเดิน ผมจะเดินช้าๆ ไปเรื่อยๆ ไม่หยุดเดิน และจะกำหนดลมหายใจของการเดินไปด้วย คล้ายๆ กับการเดินจงกรมนั้นแหละครับ และเคล็ดรับอีกอย่างก็คือ ผมจะเดินตามรอยลูกหาบ เพราะจะทำให้ทุ่นพลังไปได้เยอะเลยครับ

ระหว่างทางผมได้สอบถามพี่สมพรเรื่อง "ลูกหาบ" ว่าเป็นอย่างไรบ้าง "เห็นมีคนบอกว่าอาชีพลูกหาบจะไม่มีใครมาทำแล้วเพราะว่ามันเหนื่อย" พี่สมพรบอกว่า ปีนี้มีลูกหาบใหม่ๆ เป็นวัยรุ่นเข้ามาเป็นลูกหาบจำนวนมาก บางคนก็มาช่วงปิดเทอม หลายคนก็มาทำเป็นงานประจำ เด็กๆ พวกนี้แบกกันน้ำหนักเฉลี่ยก็ประมาณ ๕๐ กก. ค่าแบกกก.ละ ๓๐ บาท ในหนึ่งวันเขาได้เงินวันละ ๑,๕๐๐ บาท ได้เงินขนาดนี้ใครจะไม่ทำละพี่ แกยังส่งท้ายให้ฟังอีกว่า เขาทำงานได้เงิน ๑,๕๐๐ บาท/วัน มีอาชีพไหนในจังหวัดเลยที่พวกเขาจะทำงานได้เงินขนาดนี้บ้างละพี่...เออ..จริงของพี่สมพรเขา และระหว่างทางผมก็ได้เห็นลูกหาบวัยรุ่นหลายคนจริงๆ ได้ไปสอบถามก็บอกว่ามาเฉพาะช่วงปิดเทอมครับ บางคนก็บอกว่าผมมาทำประจำแล้วครับ
อีกอย่างอาชีพของลูกหาบถือว่าเป็น "อาชีพสงวน" สำหรับชาวอำเภอภูกระดึงเท่านั้น รวมถึงร้านอาหารด้วย และไม่สามารถขายเปลี่ยนมือได้ นอกจากจะเป็นมรดกตกทอดไปให้ลูกหลาน

ก่อนถึงซำแฮกผมได้เจอกับนักท่องเที่ยวสว. นอนเป็นลมอยู่เพื่อนๆ ก็ช่วยกันพัดเอายาดมมาให้ สอบถามก็บอกว่าเมื่อคืนนอนน้อย แล้วก็เดินแบบเร่งขึ้นมา ร่างกายปรับสภาพไม่ทันเลยหน้ามืด ผมก็บอกว่าพักก่อนครับ ถ้าไม่ไหวก็สามารถเรียกเจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือได้ แต่ถ้าอยากเดินขึ้นต่อผมก็บอกเคล็ดลับวิชาการเดินให้ไปครับ หวังว่าจะได้เจอพี่ๆ ข้างบนนะครับ

ถึงซำแฮก..โปรแกรมแรกผ่านไปได้ด้วยดี แวะกินน้ำแข็งใส กินแตงโมเพิ่มพลังงานกันก่อนแล้วค่อยออกเดินต่อ

การเดินขึ้นภูกระดึงเป็นเสน่ห์อีกอย่างที่ผมชอบ ก็คือมีการเอื้ออาทรกัน มีกำลังใจ มีน้ำใจ มีความห่วงใย มีรอยยิ้ม ที่แบ่งปันให้กันตลอดทาง นอกจากนี้ผมยังชอบเสียงเพลงจากวิทยุของลูกหาบที่เปิดตามแบบฉบับแนวเพลงของตนเอง เดินไปฟังไปก็เพลินดีครับ

การเดินขึ้นภูกระดึงในช่วงนี้ทุกพื้นที่จะเป็นสีเขียวหมดเลยครับ ดูแล้วสบายตา สบายใจดี การที่คนเราอยู่กับหน้าจอมือถือ หรือคอมพิวเตอร์ ได้มาเห็นอะไรเขียวๆ ก็ยังว่าเป็นการบำบัดสุขภาพสายตาด้วยครับ ได้โปรแกรมสายตาอีกหนึ่งอันแล้วครับ

ผ่านซำกกโดนได้เจอน้องสุภโยคเป็นเจ้าหนัาที่ที่เคยร่วมเดินป่าปิดด้วยกัน ตอนนี้มาประจำที่ด่านนี้แทนพี่ดำ ก็ได้มอบกาแฟสำเร็จรูป ๑ ห่อใหญ่ไว้ให้กินกัน
ขึ้นภูกระดึงก็เหมือนกับการกลับมา "เยี่ยมญาติ" ได้เจอพี่ ป้า น้า อา ลุง ป้า ตา ยาย คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ได้พูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบก็มีความสุขแล้วครับ

ผ่านขึ้นมาถึงหลังแป เราก็สามารถไปถ่ายรูปกับป้าย "ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง" ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
เราต้องเดินต่อไปอีก ๓.๖ กม.เป็นทางราบก็จะถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวังกวาง เดินไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึงแล้วครับ

ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก็ไปติดต่อเรื่องที่พักกันครับ ใครจองบ้านไว้ก็ยื่นใบจอง ใครจะนอนเต้นท์ก็เลือกกันได้ตามชอบใจ ได้เจอน้องๆ พี่ๆ เจ้าหน้าที่คุ้นเคยกันก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นดี เหมือนกับมาเที่ยวบ้านเก่าของเรา
อากาศบนยอดภูกระดึงปลอดโปร่งโล่งสบาย หายใจได้เต็มปอดดีจริงๆ ระหว่างนั่งรอสัมภาระก็ได้เจอกับพี่สว.ที่นอนเป็นลม พวกเราทุกคนลุกขึ้นยืนแล้วปรบมือให้ในความใจสู่ของพี่จริงๆ นี่สิที่เรียกว่า "ใจสู้" ของแท้

เก็บของเข้าที่พัก ล้างหน้าล้างตา ปล่อยเท้าให้สบายๆ ก่อนเดินไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหมากดูกกัน
ออกเดินต่อไปยังผาหมากดูประมาณ ๔ โมงเย็น ระยะทางประมาณ ๒ กม. ใช้เวลาเดินประมาณ ๔๐ นาทีก็ถึง หรือใครอยากเช่าจักรยานขี่ไปก็ได้ ร้านของน้องเทิดคิดราคาไป-กลับผาหมากดูกแค่ ๖๐ บาทเท่านั้นเอง
พระอาทิตย์ตกดินในช่วงนี้จะไม่ตกในแนวหน้าผา แต่จะเบี่ยงเข้าไปทางป่ามากกว่า แต่ก็ได้ภาพในอารมณ์อีกแบบนึง

เดินกลับมาที่ศูนย์วังกวางไปหาข้าวกินกันดีกว่า มาครั้งนี้ผมเลือกที่จะกินที่ร้าน "ธิดาน้อย" จะอยู่ร้านแรกด้านซ้ายมือ มีอาหารทุกอย่างที่ต้องการ อาหารอร่อยทุกอย่าง แต่ที่ติดใจพวกเราเป็นอย่างมากก็จะเป็น "ตำส่วง" ที่พวกเราบอกพี่เสริมว่า เอาตำแบบตาสว่างนั้นเอง ทางร้านยังมีน้ำชาเขียวอุ่นให้บริการฟรีอีกด้วยครับ

















 


Credit Story & Photo By

อภิวิชญ์ ปัดสำราญ https://www.facebook.com/MrNonStudio

ชนาธิป อินทรวิชะ >> https://www.facebook.com/MrNonStudio

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้